18 มิถุนายน 2553

เนื้อเพลง "โลกหมุนเวียน" โดยนายสมัคร สุนทรเวช


เนื้อเพลง
เพลง : โลกหมุนเวียน

ศิลปิน : สุนทราภรณ์

เนื้อเพลง :



คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล

ทำนอง เวส สุนทรจามร



อันความหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนที่ในโลกเรา

ทั้งเขาทั้งเราก็คงจะเห็นทั่วกัน

ไม่เที่ยงไม่แท้ปรวนแปรทุกวัน

ต่างเปลี่ยนแปรผันยิ่งนานนับวันมากหน

โลกเราทุกวันผลัดเปลี่ยนแปรผันง่ายดาย

ทั้งหญิงทั้งชายก็มีดีร้ายเจือปน

แต่ก่อนเศรษฐีเดี๋ยวนี้ซิจน

ผลัดเปลี่ยนเวียนวนจะแน่ไฉนกับโชคโลกเรา

โลกเรานี่ก็เหมือนเวทีที่กว้างใหญ่

เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า

ต่างมีกรรมทุกผู้ทุกหมู่เหล่า

เพราะว่าเขากับเราเกิดมาแสดงละครกัน

ละครของโลกมีโศกมีทุกข์สุขปน

คลุกเคล้าระคนชั่วดีเจ็ดหนปนกัน

อยู่อยู่ก็ร้ายแล้วหายไปพลัน

กลับเปลี่ยนแปรผัน ความดีเลวนั้นช่างกลับช่างกลาย

โลกเราผันแปรเกิดแก่เจ็บตายว่ายวน

คนเราทุกคนไม่มีใครพ้นความตาย

เมื่อเกิดมาแล้วไม่แคล้วสักราย

บทบาทสุดท้ายไม่มีแคล้วตายเพื่อนเอ๋ย

เป็นคนทั้งทีรีบก่อความดีให้สม

ทุกทุกสังคมจะได้นิยมชมเชย

เมื่อพลาดเพลี่ยงพล้ำอย่าซ้ำนักเลย

ไม่ช่วยก็เฉยโปรดเถิดอย่าเย้ยผ่อนหนักผ่อนเบา

ชีพยังอยู่ให้เขาชื่นชูประเสริฐกว่า

ไยจะมาอิจฉากันเล่า

อย่าเป็นคนเสียทีที่เกิดเปล่า

เพราะว่าเขากับเราไม่วายใกล้ตายทุกเวลา

ยามชีวิตยังจะฝากจะฝังอะไร

ครั้นถึงตายไปโลกเราจะได้บูชา

ด้วยเหตุฉะนี้ความดีนานา

อุตส่าห์ใฝ่หาประเสริฐหนักหนายิ่งกว่าอะไร






ที่มา : http://lyrics.ohozaa.com/

เพลง : โลกหมุนเวียน
ศิลปิน : สุนทราภรณ์
เนื้อเพลง :

คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล
ทำนอง เวส สุนทรจามร

อันความหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนที่ในโลกเรา
ทั้งเขาทั้งเราก็คงจะเห็นทั่วกัน
ไม่เที่ยงไม่แท้ปรวนแปรทุกวัน
ต่างเปลี่ยนแปรผันยิ่งนานนับวันมากหน
โลกเราทุกวันผลัดเปลี่ยนแปรผันง่ายดาย
ทั้งหญิงทั้งชายก็มีดีร้ายเจือปน
แต่ก่อนเศรษฐีเดี๋ยวนี้ซิจน
ผลัดเปลี่ยนเวียนวนจะแน่ไฉนกับโชคโลกเรา
โลกเรานี่ก็เหมือนเวทีที่กว้างใหญ่
เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า
ต่างมีกรรมทุกผู้ทุกหมู่เหล่า
เพราะว่าเขากับเราเกิดมาแสดงละครกัน
ละครของโลกมีโศกมีทุกข์สุขปน
คลุกเคล้าระคนชั่วดีเจ็ดหนปนกัน
อยู่อยู่ก็ร้ายแล้วหายไปพลัน
กลับเปลี่ยนแปรผัน ความดีเลวนั้นช่างกลับช่างกลาย
โลกเราผันแปรเกิดแก่เจ็บตายว่ายวน
คนเราทุกคนไม่มีใครพ้นความตาย
เมื่อเกิดมาแล้วไม่แคล้วสักราย
บทบาทสุดท้ายไม่มีแคล้วตายเพื่อนเอ๋ย
เป็นคนทั้งทีรีบก่อความดีให้สม
ทุกทุกสังคมจะได้นิยมชมเชย
เมื่อพลาดเพลี่ยงพล้ำอย่าซ้ำนักเลย
ไม่ช่วยก็เฉยโปรดเถิดอย่าเย้ยผ่อนหนักผ่อนเบา
ชีพยังอยู่ให้เขาชื่นชูประเสริฐกว่า
ไยจะมาอิจฉากันเล่า
อย่าเป็นคนเสียทีที่เกิดเปล่า
เพราะว่าเขากับเราไม่วายใกล้ตายทุกเวลา
ยามชีวิตยังจะฝากจะฝังอะไร
ครั้นถึงตายไปโลกเราจะได้บูชา
ด้วยเหตุฉะนี้ความดีนานา
อุตส่าห์ใฝ่หาประเสริฐหนักหนายิ่งกว่าอะไร



เพลง : โลกหมุนเวียน
ศิลปิน : สุนทราภรณ์
เนื้อเพลง :

คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุลทำนอง เวส สุนทรจามร อันความหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนที่ในโลกเราทั้งเขาทั้งเราก็คงจะเห็นทั่วกัน ไม่เที่ยงไม่แท้ปรวนแปรทุกวัน ต่างเปลี่ยนแปรผันยิ่งนานนับวันมากหนโลกเราทุกวันผลัดเปลี่ยนแปรผันง่ายดาย ทั้งหญิงทั้งชายก็มีดีร้ายเจือปน แต่ก่อนเศรษฐีเดี๋ยวนี้ซิจน ผลัดเปลี่ยนเวียนวนจะแน่ไฉนกับโชคโลกเราโลกเรานี่ก็เหมือนเวทีที่กว้างใหญ่ เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่า ต่างมีกรรมทุกผู้ทุกหมู่เหล่า เพราะว่าเขากับเราเกิดมาแสดงละครกันละครของโลกมีโศกมีทุกข์สุขปน คลุกเคล้าระคนชั่วดีเจ็ดหนปนกัน อยู่อยู่ก็ร้ายแล้วหายไปพลัน กลับเปลี่ยนแปรผัน ความดีเลวนั้นช่างกลับช่างกลายโลกเราผันแปรเกิดแก่เจ็บตายว่ายวน คนเราทุกคนไม่มีใครพ้นความตาย เมื่อเกิดมาแล้วไม่แคล้วสักราย บทบาทสุดท้ายไม่มีแคล้วตายเพื่อนเอ๋ยเป็นคนทั้งทีรีบก่อความดีให้สม ทุกทุกสังคมจะได้นิยมชมเชย เมื่อพลาดเพลี่ยงพล้ำอย่าซ้ำนักเลย ไม่ช่วยก็เฉยโปรดเถิดอย่าเย้ยผ่อนหนักผ่อนเบาชีพยังอยู่ให้เขาชื่นชูประเสริฐกว่า ไยจะมาอิจฉากันเล่า อย่าเป็นคนเสียทีที่เกิดเปล่า เพราะว่าเขากับเราไม่วายใกล้ตายทุกเวลายามชีวิตยังจะฝากจะฝังอะไร ครั้นถึงตายไปโลกเราจะได้บูชา ด้วยเหตุฉะนี้ความดีนานา อุตส่าห์ใฝ่หาประเสริฐหนักหนายิ่งกว่าอะไร

08 มิถุนายน 2553

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน..ของโรงพยาบาลวิชัยยุทธ.

เมื่อ 6 ปีก่อน ได้เคยเขียนเรื่องพระประธาน และ
หลวงปู่ทวดของห้องพระที่อาคารวิชัยยุทธเหนือไว้ครั้ง
หนึ่งแล้วในวิชัยยุทธจุลสาร ฉบับที่ 6 ต่อมาในระยะ
หลัง ผู้ป่วยรวมทั้งญาติโยมชาวพุทธที่ได้เข้าไปนมัสการ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องพระ ชั้น 15 ใคร่จะได้ทราบข้อมูล
เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเข้าไปสักการะบูชา จึงขอนำมาเขียน
ใหม่เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบ
โรงพยาบาลวิชัยยุทธดำเนินกิจการมา 34 ปี
ซึ่งเป็นเวลานานมากที่สุดสำหรับโรงพยาบาลเอกชน
ในประเทศไทย โรงพยาบาลเปิดเมื่อ 9 มิถุนายน พ.ศ.
2512 โดยสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฎฐายี แห่งวัด
มกุฎกษัตริยาราม) เริ่มต้นเรียกว่า วิชัยยุทธคลินิค
เป็นอาคาร 8 เหลี่ยม 2 ชั้นมีห้องรับผู้ป่วยเพียง 10 ห้อง
และค่อยๆขยายขึ้นจนถึงอาคาร 20 ชั้น วิชัยยุทธเหนือ
เมื่อ 20 กันยายน 2539
ผู้บริหารโรงพยาบาลมองโรงพยาบาลว่ามี
ลักษณะคล้ายวัด เพราะเป็นที่สำหรับรักษาความทุกข์
ทรมานต่างๆของชาวพุทธทั้งทางจิตใจ และร่างกาย
ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตซึ่งบางคนออกจาก
โรงพยาบาลไปสู่วัด และโรงพยาบาลเป็นที่ให้ข้อมูล
ต่างๆเกี่ยวกับทุกข์นั้นๆเช่นเดียวกับวัด สายใยเชื่อมต่อ
ระหว่างคนไข้และโรงพยาบาลที่ควรจะเป็น คือ สายใย
ของความเมตตา เรามิได้มองโรงพยาบาลในลักษณะ
สากลที่มุ่งมองแต่ผลประโยชน์ของตนเองอย่างสถาบัน
การแพทย์เอกชนอื่นๆ เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่ของ
โรงพยาบาลนี้ถูกหล่อหลอมมาด้วยคุณธรรมของพระ
พุทธศาสนา เรารู้ว่าในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ชาวพุทธจะ
ตระหนักดีว่าทุกข์ต่างๆเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องของ
อนิจจัง ซึ่งเมื่อใครต้องเผชิญจะต้องแสวงหาที่พึ่งทาง
ใจในรูปแบบต่างๆโดยเฉพาะทางศาสนา โรงพยาบาล
จึงได้จัดให้มีสถานที่สำหรับคนไข้จะได้ไหว้พระนับ
ตั้งแต่อาคารแรก ทุกอาคารจะมีที่ตั้งพระหรือที่ตั้งโต๊ะ
หมู่บูชา จนเมื่อสร้างอาคารวิชัยยุทธเหนือจึงจัดให้มีห้อง
พระในอาคารในชั้นที่ 15 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของหอผู้ป่วย
ธรรมดา และยังมีรูปปั้นของหลวงปู่ชีวก โกมารภัจจ์
แพทย์ประจำองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ที่หน้าอาคาร
ชั้นล่างด้วย นอกจากศาสนาพุทธเรายังมองถึงคนไข้ของ
ศาสนาอื่นที่ต้องการสถานที่สำหรับทำกิจกรรมทาง
ศาสนา จึงได้จัดให้มีห้องละหมาดสำหรับคนไข้ชาว
อิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคนไทยนับถือมากเป็นลำดับ
สอง สำหรับคริสตชนนั้นไม่ต้องการสถานที่เฉพาะ
จึงมิได้จัดไว้ให้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน...
ของโรงพยาบาลวิชัยยุทธ
นายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์
ประธานบริหาร ร.พ.
8
สำหรับห้องพระนั้นตามธรรมเนียมจะต้อง
มีองค์พระประธานเป็นหลัก ซึ่งถ้าจะนำพระที่หล่อกัน
โดยทั่วไปมาเป็นพระประธานอาจไม่ตรงกับลักษณะ
ของโรงพยาบาล จึงได้หล่อพระประธานเองโดยเลือก
ปางดีดน้ำมนต์ ที่ได้ดัดแปลงมาจากปางประทานพร
เพื่อให้มีความหมายสำหรับผู้ป่วย องค์พระประธานใช้
แบบที่เห็นจากพระพุทธรูป ที่เคยนมัสการที่ศรีลังกา
ซึ่งสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ.400 ครองจีวรในแบบ
ศรีลังกา มีหน้าตัก 25 นิ้ว ขนาดพอเหมาะกับห้องพระ
โดยเน้นที่พระพักตร์ให้ฉายแสงแห่งความเมตตา และ
เน้นความงามของพระหัตถ์ โดยเอาแบบจากพระ
เชียงแสนที่มีนิ้วพระหัตถ์เท่ากันทุกนิ้ว โดยขอให้ช่าง
บุญชม อินทรีย์วงศ์ จากโรงหล่อพุทธมณฑลสาย 2
เป็นผู้ปั้นให้ตามความต้องการ เริ่มต้นปั้นด้วยเทียนเป็น
หุ่นก่อนและได้ขอแก้ไขใหม่หลายครั้งจนพอใจ จึงได้
องค์พระประธานงามสมดังใจที่ตั้งไว้ ต้องขอขอบคุณ
นายช่างบุญชมไว้เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ได้สร้างพระ
ประธานองค์เล็กขนาด 5 นิ้วไว้อีก 50 องค์ สำหรับ
ผู้ที่สั่งจองไว้บูชา
คนไทยจำนวนมากนับถือศรัทธาในพระ
อริยสงฆ์บางองค์ที่เคยมีชื่อเสียงอยู่ในอดีต เช่น หลวง
ปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) สมเด็จพุฒาจารย์ (โต
พรหมรังสี) หลวงปู่เทพโลกอุดร (หลวงปู่ใหญ่) เป็นต้น
บังเอิญในช่วงแรกของชีวิตผู้เขียนเมื่อครั้งจบแพทย์
ใหม่ๆ ได้มีความสนใจในเรื่องของพระศาสนาและการ
ปฏิบัติได้ไปเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ร.อ.ทวี ทิวแก้ว
แห่งอาศรมชีปะขาว ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทวด
ที่มีประวัติว่าเป็นพระสังฆราชสมัยกรุงศรีอยุธยาย้อนไป
400 กว่าปีแล้ว และหลวงปู่ทวดท่านปรารถนาพุทธภูมิ
คือ รอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล
ดังนั้นในบทสวดบูชาของท่านจึงสวดขึ้นต้นว่า “นะโม
โพธิสัตโต” หมายถึงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเรา
ไม่สามารถทราบว่าอีกนานเท่าใดท่านจะบรรลุพระ
สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ผู้เขียนเมื่อเริ่ม
ศึกษาปฏิบัติทางสมาธิภาวนา ก็ได้เคยทำพิธีฝากตน
เป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ทวดแล้ว จึงตกลงใจจะ
สร้างหลวงปู่ทวดไว้ให้คนบูชาในห้องพระของโรงพยาบาล
ด้วย เพราะได้เคยเห็นว่ามีคนไข้จำนวนมากมาขอให้
อาจารย์ทวี ทิวแก้ว ช่วยรักษาโรคต่างๆให้โดยอาศัย
บารมีของหลวงปู่ทวด และที่คนไข้หายเป็นอัศจรรย์
ทันทีก็มีอยู่มาก ในการปั้นหลวงปู่ทวดก็ได้ให้ช่างคือ
คุณสุชาติ เลิศภูมิปัญญา แห่งโรงปั้นซอยวัดจันทร-
ประดิษฐาราม เขตภาษีเจริญ ดูแบบจากหลวงปู่ทวด
ของอาศรมอาจารย์ทวี ทิวแก้ว ที่เคยแสดงอภินิหารต่อ
ผู้เขียนมาแล้ว คือในวันที่นำหลวงปู่ทวดไปประดิษฐาน
ที่มณฑป วัดเขาดิน กาญจนบุรี ได้เปิดโอกาสให้คนที่มา
9
ในงานปิดทององค์ท่าน ผู้เขียนได้ไปปิดทองพร้อม
ภรรยา แต่เวลาปิดทองที่แก้มของหลวงปู่ ผู้เขียนมีความ
รู้สึกว่าเนื้อแก้มของท่านนิ่มมาก กดบุ๋มลงไปคล้ายกด
ที่แก้มคนจริงๆ ผู้เขียนไม่ได้เฉลียวใจแต่บอกภรรยา
ว่าปิดเบาๆเดี๋ยวหน้าท่านเสียรูป แล้วรีบมาบอก
อาจารย์ทวีว่าทำไมให้ปิดทองยังไม่แห้งเดี๋ยวเสียหมด
ท่านมองลอดแว่นแล้วบอกว่า “หมอ หลวงปู่หล่อเสร็จมา
2 ปีแล้ว!”
เพื่อให้ปั้นหลวงปู่ทวดได้ใกล้เคียงองค์จริงจึง
ให้ผู้ปั้นดูรูปหลวงปู่ทวดที่ปรากฏที่นิ้วมือของอาจารย์
จิตร บัวบุศย์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเพาะช่างที่ท่าน
เป็นผู้ปั้นหลวงปู่ทวดองค์ที่อาศรมชีปะขาว และได้มีการ
ถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐาน ก่อนปั้นครั้งนี้ให้ช่างปั้นจุดธูป
1 องค์ อีกองค์ได้ถวายไปไว้ที่อุโบสถ วัดสุทธาวาส
คลองหลวงแพ่ง ฉะเชิงเทรา ที่อาจารย์ทวีได้สร้างไว้
และโรงพยาบาลวิชัยยุทธได้ร่วมบุญก่อสร้างด้วย นอก
จากนี้ได้ปั้นหลวงปู่ทวดองค์ขนาด 5 นิ้วอีก 30 องค์
หลวงปู่ชีวก 5 นิ้วอีก 40 องค์ตามที่มีผู้สั่งจอง
คนไทยเรามีความศรัทธาในการสักการะบูชา
พระพุทธรูป ซึ่งถือแทนองค์พระพุทธเจ้า มักจะขอสิ่ง
ต่างๆที่ปรารถนา และบ่อยครั้งถ้าสิ่งที่ขอไม่ผิดต่อ
ศีลธรรมและความถูกต้องก็อาจได้สิ่งนั้นตามที่ขอไว้
ทำให้คนทั้งหลายเกิดความศรัทธาและยึดมั่นในพระ
พุทธคุณมากยิ่งขึ้น คงจะรู้กันดีว่ามีพระพุทธรูปองค์
สำคัญหลายองค์ที่เป็นสุดยอดที่คนไทยชาวพุทธจะ
หาเวลาและโอกาสเวียนกันไปนมัสการ นับตั้งแต่พระ
แก้วมรกต พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้าน
แหลม พระไสฯ เป็นต้น ทุกองค์มีประวัติการสร้าง
ที่ชัดเจน มีประวัติอันยาวนานและยิ่งใหญ่ มีผู้รู้
หลายท่านบอกว่าพระพุทธรูปทุกองค์มีเทพชั้นสูง
จำนวนหนึ่งประจำองค์พระพุทธรูปเหล่านี้
ครูบาอาจารย์ได้เคยอธิบายถึงวิธีการสร้าง
พระพุทธรูปที่จะให้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่กาลอดีตว่าต้อง
มีสิ่งสำคัญ 4 ประการ เริ่มด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์อันเป็น
กุศลเจตนาของผู้สร้างเป็นประการสำคัญในเบื้องต้น
ซึ่งพระของโรงพยาบาลทุกองค์ได้มีผู้มีจิตศรัทธาทั้ง
ที่เป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ คนไข้และญาติโยม
ได้ร่วมกันบริจาคเงินร่วมสร้างพระพุทธรูปประจำ
โรงพยาบาลและองค์อื่นๆเป็นประการแรก ประการที่ สอง
วัสดุที่จะนำมาหล่อองค์พระจะต้องมีแผ่นชนวน
ซึ่งครูบาอาจารย์ที่มีวิชาจะได้เขียนเลขยันต์คาถาต่างๆ
และเพ่งจิตลงในแผ่นทองนาคเงิน เพื่อนำมาหล่อหลอม
เป็นเบื้องต้นก่อนจะผสมโลหะเพื่อหล่อองค์พระ สำหรับ
องค์พระประธานรูปเหมือนหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ชีวก
ที่หล่อครั้งนี้ได้ชนวน ดังนี้
- ชนวนที่หล่อหลวงปู่ทวด ที่วัดเทพศิรินทราวาส
บอกหลวงปู่ทวดแล้วจึงปั้น เมื่อเสร็จแล้วเราได้ติดต่อ
อัญเชิญญาณของหลวงปู่ทวดมาตกแต่งหุ่นขี้ผึ้ง
ของท่านหลายแห่ง จนได้ออกมาตามที่เห็น ซึ่งน่าจะใกล้
องค์จริงมาก การปั้นหลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์ที่ตั้งไว้หน้า
อาคาร โดยช่างคณะเดียวกัน โดยวิธีการเช่นเดียวกัน
และได้อัญเชิญญาณหลวงปู่ชีวกมาตกแต่งหุ่นของ
ท่านเองหลายครั้งเช่นเดียวกัน จึงน่าจะคล้ายองค์จริง
มากที่สุด ได้หล่อหลวงปู่ทวดไว้ 2 องค์ ไว้ที่โรงพยาบาล
10
- ชนวนที่หล่อหลวงพ่อเพ็ชร พระประธานวัด
สุทธาวาส คลองหลวงแพ่ง ฉะเชิงเทรา
- ชนวนเก่าเมื่อสร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์
และได้แผ่นทองนาคเงินจากพระอาจารย์ 42 รูป
เท่าที่ได้จดจำไว้ได้มีดังนี้
- หลวงพ่ออุตตมะ และหลวงตาเซ็น วัดวังก์วิเว-
การาม กาญจนบุรี
- หลวงปู่เหรียญ วัดอรัญวาสี หนองคาย
- หลวงปู่ท่อน วัดป่าศรีอภัยวัน เลย
- พระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง) วัด
ทรายขาว ปัตตานี
- หลวงปู่อวน วัดหนองพลับ สระบุรี
- หลวงปู่หลอด วัดใหม่เสนา กรุงเทพฯ
- หลวงปู่พรหมา สำนักสวนบ้าน อุบลราชธานี
- หลวงปู่หลวง วัดเกาะคา ลำปาง
- พระเทพวิสุทธิญาณ วัดบวรนิเวศ
- หลวงปู่เลื่อน วัดบ้านตำแย ศรีษะเกษ
- หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิทอง อยุธยา
- หลวงพ่อบุญชู วัดหนองโรง
- หลวงพ่อจ้วง วัดหนองน้ำเขียว
- หลวงพ่อสนิท วัดสะแก
- หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย อยุธยา
- หลวงพ่อทัศน์ วัดแจ้ง ปราจีนบุรี
- หลวงปู่ป่วน วัดหนองบัวทอง สุพรรณบุรี
- หลวงพ่อช้อน วัดหนัง กรุงเทพฯ
- หลวงปู่เกตุ วัดเกาะหลัก ประจวบคีรีขันธ์
- หลวงพ่อละเอียด วัดไผ่ล้อม อยุธยา
- หลวงพ่อช่อ วัดฤกษ์บุญมี สุพรรณบุรี
- พระครูประสิทธิวิสุทธิคุณฯ วัดไตรมิตร
กรุงเทพฯ เป็นต้น
ประการที่สาม คือในพิธีเททองหล่อ จัดพิธีกรรมต่างๆ
ได้ถูกต้อง ซึ่งในครั้งนี้มีพระญาณทีปาจารย์ (หลวง
ปู่ท่อน ญาณธโร) แห่งวัดป่าศรีอภัยวัน เป็นผู้เททองใน
เวลา 08.15 น. ในวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2539
ประการที่สี่ ได้มีพิธีอัญเชิญเทพยดาชั้นสูงประจำ
องค์พระประธานอัญเชิญหลวงปู่ทวดประดิษฐาน
ในองค์หลวงปู่ทวดและหลวงปู่ชีวกโกมารภัจจ์ใน
องค์พระรูปหลวงปู่ชีวก โดยคุณเยาวพันธุ์ เมฆไพบูลย์
เป็นผู้อัญเชิญ พิธีกรรมครั้งนี้เรียบร้อยสมบูรณ์ทุก
ประการ เมื่อถอดแบบออกปรากฏว่าทุกองค์เรียบร้อย
โดยไม่มีตำหนิเลยจนเป็นที่แปลกใจของช่างหล่อเป็น
อย่างมาก นอกจากนี้ยังได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
จำนวนหลายพันองค์ที่เสด็จมาที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
หลายวาระไว้บนเศียรขององค์พระประธานด้วย
ในวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2539 ได้อัญเชิญ
พระทุกองค์จากโรงหล่อมาที่โรงพยาบาลและทำบุญ
สวดมนต์ฉลองพระในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2539 ซึ่ง
เป็นวันครบรอบวันเปิดโรงพยาบาลเมื่อ 27 ปีก่อน และ
เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
ครองราชย์มาครบ 50 ปีพอดี จึงนับเป็นวาระอันเป็น
มงคลยิ่งนัก โรงพยาบาลจึงได้ทำบุญถวายเป็นพระ
ราชกุศลในวาระนี้ด้วย โดยได้อาราธนาพระอาจารย์ 9
รูป ได้แก่ หลวงปู่ท่อน หลวงปู่จันทา หลวงปู่ทองพูล
หลวงปู่เปลี่ยน พระอาจารย์คำ พระอาจารย์เลิศ พระ
อาจารย์คำตัน พระอาจารย์พวน และพระอาจารย์สมพร
มาร่วมงานบุญครั้งนี้
ในวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2539 ได้ฤกษ์
อัญเชิญพระประธาน หลวงปู่ทวด เข้าประดิษฐานใน
ห้องพระของชั้น 15 อาคารวิชัยยุทธเหนือ และหลวง
11
ปู่ชีวกประดิษฐานที่แท่นบูชาหน้าโรงพยาบาลโดย
เรียบร้อย
ในห้องพระชั้น 15 ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐาน
อยู่อีกหลายองค์ ได้แก่ รูปเจ้าแม่กวนอิมที่ทำด้วย
กระเบื้องที่งดงามมากเป็นของเก่าแก่ของจีน เท่าที่ทราบ
ประวัติเคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศจีน พระ
อาจารย์องค์หนึ่งท่านได้มา และท่านได้ให้แก่ผู้เขียนมา
ผู้เขียนเห็นว่ามีคนไข้เชื้อสายจีนส่วนหนึ่งเคารพและ
ศรัทธาแก่เจ้าแม่กวนอิมมาก ผู้เขียนจึงมอบไว้ให้ในห้อง
พระของโรงพยาบาล เพื่อให้คนไข้และญาติโยมได้
กราบไหว้บูชา เพราะเป็นองค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก
องค์หนึ่ง สำหรับเจ้าแม่กวนอิมปางที่ต่างออกไปที่ตั้ง
ไว้ที่เดียวกันนั้น ผู้เขียนได้มาจากคนไข้เช่นเดียวกัน
โต๊ะบูชาอีกโต๊ะหนึ่งในห้องพระเป็นรูปของ
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นอริยสงฆ์องค์แรกและถือเป็น
บูรพาจารย์สายพระปฏิบัติในยุครัตนโกสินทร์ มีรูป
เหมือนหลวงปู่มั่น รูปเหมือนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
อริยสงฆ์ที่คนไทยในยุคปัจจุบันรู้จักกันดีและอีกสิ่งหนึ่ง
ที่ควรได้รู้จักและสักการะบูชา คือผ้าไตรของหลวงปู่เทพ-
โลกอุดร หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า หลวงปู่ใหญ่ ซึ่ง หลวงปู่วัย
จตฺตาลโย แห่งวัดกาพพนมยงค์ หินกอง ที่ละสังขารเมื่อ
วันที่ 22 เมษายน 2541 อายุ 99 ปี 6 เดือน 4 วัน
ซึ่งมีพระประวัติที่น่าสนใจมาก ท่านเป็นพระองค์เจ้า
จบแพทย์จากฝรั่งเศส เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ได้ไปเรียนเสนาธิการที่เยอรมัน เพื่อเตรียมเอาราช-
บัลลังก์คืน แต่ต่อมาท่านได้เปลี่ยนมาบวชตั้งแต่หนุ่ม
ท่านเล่าว่าได้เคยพบและเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่
ตั้งแต่บวชใหม่ๆและกำลังธุดงค์ศึกษาปฏิบัติอยู่ในป่า
และท่านเล่าว่าท่านได้ถวายผ้าไตรให้แก่หลวงปู่ใหญ่
ทุกปี และท่านเก็บไว้หลังจากครบปีแล้ว หลวงปู่วัยได้
มอบผ้าไตรหลวงปู่ใหญ่ให้ผมไว้ 2 ชุด ชุดหนึ่งอยู่ที่
ห้องพระแห่งนี้ คงจะเป็นสิ่งสักการะบูชาของญาติโยม
ที่รู้จักและศรัทธาแทนองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปที่มีค่าอีกหลาย
องค์ที่ผมได้รับมอบจากครูบาอาจารย์และคนไข้ของ
โรงพยาบาลรวมถึงรูปถ่ายของเสด็จพ่อ ร.5 ที่คนไข้
ถ่ายมาจากวัดที่อยุธยาเห็นแสงประหลาด (ของเทพ
เทวดา) ที่อยู่หน้าองค์ท่าน
ทั้งหมดนี้เป็นประวัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันควร
แก่การสักการะบูชาของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของ
โรงพยาบาล คนไข้และญาติโยมทั้งหลายสุดแต่ผู้ใดจะ
มีความศรัทธาแก่องค์ใด ผู้เขียนเองมีประสบการณ์ทั้ง
อิทธิปาฏิหาริย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมากมาย
จึงจัดห้องพระนี้ไว้เพื่อประโยชน์ของชาวพุทธที่เคารพ
ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายโดยทั่วกัน
12

อาจารย์ทวี ทิวแก้ว อาศรมชีปะขาว ตอน พลังจิตและปาฏิหาริย์ของเหรียญหลวงปู่ทวด ปี ๒๕๑๒








อาจารย์ทวี ทิวแก้ว อาศรมชีปะขาว ตอน พลังจิตและปาฏิหาริย์ของเหรียญหลวงปู่ทวด ปี ๒๕๑๒






หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ในอดีตกว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว บารมีของท่านแผ่ไพศาลจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวปาฏิหาริย์เกี่ยวกับหลวงปู่ทวดมีมากมายเล่าขานกันไม่หวาดไม่ไหว


สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างในรูปแบบพระเครื่องแล้ว เป็นที่เชื่อถือกันในกลุ่มผู้มีคตินิยมแนวนี้ว่า “นิรันตราย” เป็นเลิศ


มีเรื่องน่าประหลาดใจอยู่เรื่องหนึ่งครับ....

คือเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่ทวด ถ้าเราสังเกตดูแล้วจะพบว่าประวัติของท่านมีเพียงแต่การบันทึกในรูปแบบลายลักษณ์อักษรเท่านั้น โดยไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นหน้าตาของหลวงปู่ทวดว่าเป็นอย่างไร รูปร่างสูงต่ำขนาดไหน และทำไมถึงมีการจัดสร้างวัตถุมงคลรูปเหมือนของท่านออกมาได้ เขาเหล่านั้นใช้หลักการอะไร จินตนาการแบบไหน วิธีการได้มาทำอย่างไร ฯลฯ




หมุนเข็มนาฬิกาย้อนหลังไปสักประมาณห้าสิบปี ในยุคสมัยนั้น”ร้อยเอกทวี ทิวแก้ว” หรือ “อาจารย์ทวี ทิวแก้ว” แห่ง “อาศรมชีปะขาว” ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ที่มีวิชาอาคมและมีญาณที่เข้มแข็ง” โดยเฉพาะเรื่องของ “พลังจิต”

เป็นที่เชื่อถือกันในกลุ่มลูกศิษย์และผู้ที่เคารพในตัวท่านว่าพลังจิตของท่าน “แจ่มใสดุจดั่งดวงแก้ว” จนสามารถติดต่อกับญาณบารมีของพระเกจิอาจารย์หรือพระเถระชั้นสูงที่ได้ล่วงลับไปแล้ว....

อาจารย์ ร.อ.ทวี ทิวแก้ว เกิดเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๑ เวลา ๒๐.๑๕ น. สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก คุณพ่อคุณแม่ของท่านได้นำท่านไปฝากไว้กับพระที่วัดหนัง(ธนบุรี) ซึ่งช่วงนั้นทางวัดหนัง(ธนบุรี) ได้เปิดให้มีการสอนเด็กๆประมาณ ๗๐ คนให้หัดนั่งปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน...




ต่อมาปรากฏว่า “ท่านพระภาวนาโกศล (เอี่ยม)” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ท่านเจ้าคุณเฒ่า หรือ หลวงปู่เอี่ยม เจ้าอาวาสวัดหนัง(ธนบุรี)” ในสมัยนั้น ท่านได้คัดเลือกเด็กชายทวี ซึ่งมีอายุเพียง ๗ ขวบเพียงคนเดียวเพื่อให้คอยปรนนิบัติและให้เข้าไปฝึกปฏิบัติสมาธิในกุฏิของท่านทุกคืนจนเด็กชายทวีโตเป็นหนุ่ม (สำหรับเรื่องราวและกิติคุณของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ปัจจุบันมีคนเขียนถึงท่านมากมายแล้ว เพื่อนๆสามารถหาอ่านได้ตามหนังสือพระเครื่องทั่วไปครับ)


อาจารย์ทวีถูกเกณฑ์ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก เมื่อรับราชการจนครบกำหนดแล้ว ท่านจึงลาออกจากราชการทหารและได้ไปทำงานในเรือเดินทะเลค้าขายระหว่างประเทศ ลูกศิษย์ของอาจารย์ทวีท่านหนึ่งได้เขียนถึง “คุณวิเศษและลักษณะนิสัย” ของอาจารย์ทวีไว้ว่า....




“ครั้งหนึ่งเครื่องยนต์ของเรือได้ดับกลางทะเล แก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ อาจารย์ทวีได้ใช้สมาธิจิตเพ่งจุดหัวเทียน ทำให้เครื่องเรือติดและสามารถวิ่งเข้าฝั่งได้

และด้วยความที่ท่านเป็นคนที่ไม่นิยมการเที่ยวเตร่ ดังนั้นเมื่อกลับเข้าฝั่ง ท่านจึงมักเข้าไปอยู่ในป่าแถบภาคใต้ เพื่อหาความสงบจากการฝึกปฏิบัติสมาธิกรรมฐานตลอดเวลา....”



ในช่วงที่อาจารย์ทวีอยู่ในป่า ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่ง ซึ่งมาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ท่านเห็นหลายอย่าง แต่ตัวของอาจารย์ทวีเองกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือแปลกใจแต่ประการใด ดังนั้นเมื่อพระธุดงค์องค์นั้นชักชวนให้ท่านไปเรียนวิชา ท่านจึงได้ปฏิเสธออกไป โดยท่านให้เหตุผลว่า.....


“ท่านมีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว คือ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง....”




พระธุดงค์องค์นั้นก็ไม่ได้ละความพยายามได้เวียนมาชักชวนท่านถึงสามครั้ง โดยครั้งสุดท้ายพระองค์นั้นได้มาในร่างของสงฆ์แต่ “แต่งชุดขาวเป็นชีปะขาว” และบอกว่าชื่อของท่านคือ “หลวงปู่ทวด” มีความต้องการรับอาจารย์ทวีเข้าเป็นลูกศิษย์...

เมื่ออาจารย์ทวีได้ทราบว่าพระธุดงค์องค์นี้คือหลวงปู่ทวด ท่านจึงน้อมรับเข้าฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) และได้รับการถ่ายทอด “วิชาสมาธิจิตและวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงปู่ทวด” ให้กับท่าน...


หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) ได้บอกกับท่านว่า “หลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิ” คือ “เจตนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต” แต่ขณะนี้ท่านเป็น “พระโพธิสัตว์” ดังนั้นคาถาที่ใช้สวดบูชาและนมัสการท่านคือ...


“นะโม โพธิสัตว์โต อาคันติมายะ อิติภะควา...”




ตามหลักของพระพุทธศาสนา มนุษย์ประกอบด้วย “กาย” และ “จิต” โดย “กายเป็นรูปธรรม” และ “จิตเป็นนามธรรม”


อาศรมชีปะขาว เป็นสำนักที่เปิดสอนและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสมาธิจิต โดยอาจารย์ทวี ทิวแก้วท่านจะสอนเรื่องของจิตและวิญญาณตามหลักของพระพุทธศาสนา ซึ่งถ้าจะว่ากันไปแล้วคำว่า “จิต” และ “วิญญาณ” เป็นเรื่องที่แอบอิงเข้ากันกับเกือบจะทุกศาสนา


เพราะว่าอะไรหรือครับ.....


คำตอบแบบขั้นอนุบาลว่าอย่างนี้


เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความเชื่อของมนุษย์” ที่มีมาตั้งแต่อดีต เพียงแต่ว่า “นัยยะความหมาย” ของแต่ละศาสนาจะแตกต่างกันออกไป


คุณสมบัติของจิต...เชื่อกันว่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่เราเคยรู้จักกัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ที่ไหนเพียงเรานึกถึงสิ่งนั้น จิตของเราก็จะวิ่งไปทันที

นอกจากนี้จิตยังสามารถทะลุทะลวงผ่านวัตถุและสิ่งต่างๆได้อย่างไร้ขีดจำกัดและไร้ซึ่งขอบเขต คุณสมบัติทั้งหมดนี้เราเรียกมันว่า ...”พลังจิต”


พลังจิตต่างจากพลังงานอื่นๆทางวิทยาศาสตร์ เช่นพลังงานไฟฟ้า พลังงานน้ำ ฯลฯ ตรงที่จิตมี “ตัวรับรู้อารมณ์” ที่เรียกว่า “วิญญาณ” โดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ


สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน..เราสามารถแยกออกได้เป็นสองชนิดคือ “สิ่งมีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณ” และ “สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ” ซึ่งคำที่เรามักจะได้ยินเสมอเมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ก็คือคำว่า “จิตวิญญาณ”


ซึ่งวิญญาณนี้ ทางพุทธศาสนาอธิบายความไว้ว่า

“เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง สามารถรับอารมณ์ได้ไกล มีการเกิดดับทุกขณะและมีอยู่ในสมองเป็นส่วนใหญ่.....”




โดยปกติแล้ว จิตกับกาย มักจะคู่กันเสมอ แต่สำหรับผู้ที่มี”ฌาน”จากการฝึกปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาจนถึงขั้น อาจแยกจิตออกจากกายได้ ซึ่งอาจจะเป็นแบบชั่วคราวหรือแยกเป็นแบบระยะเวลาที่ยาวนาน ลักษณะแบบนี้เราเรียกว่า “นิโรธสมาบัติ” ครับ


ดังนั้นไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนธรรมดาหรือพระสงฆ์ หากสามารถปฏิบัติจนเข้าสู่ “นิโรธสมาบัติ” ได้เป็นประจำก็จะต่อยอดให้เกิด “ฌาน” ต่างๆ เช่น “เจโตรปริญาณ ได้แก่ การอ่านใจผู้อื่น” หรือ “อนาคตังสญาณ ได้แก่ การรู้อนาคต” ฯลฯ




นั่งพักกันตรงนี้สักนิดครับ....ที่เขียนมาข้างต้นเพื่อต้องการปูทางของคำว่า “การนั่งสมาธิตรวจสอบ” หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “การนั่งทางใน” ว่าทำไมคนที่ได้รับการฝึกฝนทางจิตมาดี สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้

เรื่องพวกนี้นอกจากการหมั่นฝึกปฏิบัติตามหลักการและวิธีที่ถูกต้องแล้ว โดยส่วนตัวของผม คำว่า“บุญบารมี”ที่คนๆนั้นเคยทำมาก็ยังมีส่วนด้วยครับ….


คุณวิเศษเฉพาะตัวของอาจารย์ทวี ทิวแก้ว ตามที่ผมได้ศึกษามาจากบทความของท่านพันโท นายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ก็คือการที่อาจารย์ทวี สามารถ”นั่งสมาธิตรวจสอบ” ได้อย่างแม่นยำเป็นที่อัศจรรย์ใจ




เช่นการที่นายแพทย์สมพนธ์ ได้นำผ้าเช็ดหน้าห่อพระเครื่องไว้สามองค์ อาจารย์ทวีสามารถนั่งสมาธิตรวจสอบได้ว่าในห่อผ้านั้นมีพระอยู่กี่องค์และเป็นพระอะไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้อาจารย์ทวี ท่านได้บอกไว้ว่าเป็นเรื่องของการใช้ “พลังจิต” อธิบายความได้ว่า...


“เกิดจากการทำสมาธิให้จิตนิ่งและนำจิตนั้นไปใช้งาน เหมือนพลังงานอื่นๆ.....”


และเมื่อนายแพทย์สมพนธ์ ต้องการทดสอบเรื่องของ “ความแรงของพลังจิต” โดยให้ช่วยตรวจสอบพลังของพระพุทธรูปที่บ้านพัก อาจารย์ทวีก็สามารถบอกได้อย่างถูกต้องว่า“พระพุทธรูปเชียงแสน ๑ ที่บ้านของนายแพทย์สมพนธ์ มีพลังงานแรงมากแต่ชำรุด” ซึ่งเมื่อมีการนำพระองค์ดังกล่าวมาตรวจสอบก็พบว่า..”พระองค์นั้นเศียรหักและถูกต่อคอเอาไว้...”

ด้วยความที่นายแพทย์สมพนธ์ ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำให้ท่านอยากพิสูจน์”พลังของจิต” ท่านจึงได้เอาแผ่นตะกั่วที่กันแสงเอกซเรย์ได้ มาทุบเป็นกล่องสี่เหลี่ยมครอบกันเอาไว้แล้วเอาเงินใบละสิบบาทพับใส่ลงในกล่อง เสร็จแล้วก็ครอบฝาปิดกล่องเอาไว้ ท่านเล่าว่าได้นำกล่องใบนี้ไปให้อาจารย์ทวีโดยบอกว่า....


“อยากทดสอบพลังของจิตว่าแรงกว่าเครื่องเอกซเรย์หรือไม่....”



อาจารย์ทวี มองลอดแว่นแล้วบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องถึงท่านก็ได้ ให้ “หูทิพย์” ดูก็ได้ “หูทิพย์”ในที่นี้คือ “ด.ช.โสตรทิพย์ ทิวแก้ว” บุตรชายของท่านที่พิการแต่กำเนิด


กล่าวคือ”หูทิพย์”เป็นเด็กที่ไม่มีรูหู ซึ่งตามปกติแล้วคนที่ไม่มีรูหูมักจะเป็นใบ้ แต่อาจารย์ทวี ท่านได้ใช้พลังจิตรักษาและสอนภาษาตั้งแต่เล็กๆ จนหูทิพย์ สามารถพูดได้ ฟังได้และเรียนหนังสือได้ โดยอาศัยการดูปากและเสียงที่มากระทบบริเวณแก้ม


ท่านเล่าว่าขณะนั้น ด.ช.โสตรทิพย์ มีอายุได้สักประมาณสิบกว่าขวบและกำลังวิ่งเล่นอยู่ อาจารย์ทวีได้เรียกให้เขามานั่งดูของในกล่อง ด.ช.โสตรทิพย์นั่งหลับตาดูสักพักจึงลืมตาแล้วบอกว่า....


“แบงค์พ่อ แบงค์..”


อาจารย์ทวี ถามต่อว่า “ใบละเท่าไร...”


ด.ช.โสตรทิพย์นั่งหลับตาอีกแล้วบอกว่า...


“แบงค์สิบพ่อ..”


และเมื่ออาจารย์ทวี ถามต่อว่ามีเลขอะไรบ้าง ด.ช.โสตรทิพย์ก็บอกเลขออกมา เมื่อนายแพทย์สมพนธ์ท่านได้เปิดฝากล่องและดูเบอร์ของธนบัตร ท่านพบว่า


”ตัวเลขตรงกันแต่มีสลับที่กันอยู่บ้าง...”


แต่ท่านว่าเพียงเท่านี้ก็สร้างความมหัศจรรย์ใจให้กับตัวท่านแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ท่านมีความเชื่อว่า...


“พลังจิตมีความมหัศจรรย์จริงๆ และไม่มีข้อขีดขั้นของอายุผู้ปฏิบัติ...”




จะว่าไปแล้วเรื่องราวของคุณวิเศษและความสามารถพิเศษในเรื่องพลังจิตของอาจารย์ทวี ทิวแก้วและบุตรชายคือ ด.ช.โสตรทิพย์ ทิวแก้ว ยังมีอีกมากมาย ตลอดจนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เกิดขึ้นต่อหน้าบุคคลหลายๆท่าน ซึ่งบุคคลต่างๆที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ก็เป็นเสมือน”พยานบุคคล”ที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญยืนยันในเรื่องเหล่านี้...

ความมหัศจรรย์ของพลังจิตที่เกิดขึ้น หมายรวมถึง..การทำนายทายทัก การวิเคราะห์โรค การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ รวมไปถึงการติดต่อกับญาณบารมีของพระเกจิอาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วอย่าง “หลวงปู่ทวด...”




อาจารย์ทวี ในสมัยนั้นท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีทั้งบรรดาพ่อค้าประชาชนทั่วไปและรวมไปถึงข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านได้ให้ความเคารพนับถือถวายตัวเป็นลูกศิษย์....


อาจารย์จิตร บัวบุศย์ อดีตอาจารย์วิทยาลัยเพาะช่าง ก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ทวี ทิวแก้ว เช่นเดียวกัน


ครั้งนั้นอาจารย์จิตร ต้องการจะหาเงินเพื่อสร้าง วัดวังรี จ.นครนายก และวัดสุทธาวาส จ.ฉะเชิงเทรา โดยท่านคิดว่าจะสร้างพระหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) แต่ช่างปั้นก็ไม่รู้ว่าจะปั้นอย่างไร เพราะไม่มีรูปของหลวงปู่ทวดเป็นแบบและก็ไม่เคยมีใครได้เห็นหลวงปู่ทวดมาก่อน...

ด้วยเหตุนี้ทำให้อาจารย์จิตร จึงต้องให้อาจารย์ทวี ทิวแก้ว มาเป็นผู้ชี้ทางสว่าง....




วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๐๕ ท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้วได้จัดพิธีขึ้นที่อาศรมชีปะขาว สิ่งมหัศจรรย์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออาจารย์ทวี ท่านได้นำอาจารย์จิตรเข้ามาร่วมในพิธี....อาจารย์จิตรได้บรรยายความรู้สึกขณะนั้นว่า....

“ร่างกายร้อนฉ่า...ความร้อนนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวไปที่ต้นแขน...ไปที่ปลายมือและวูบวาบไปที่มือ ไปประจวบรวมกันที่หัวแม่มือ..จนอาจารย์จิตรต้องยกนิ้วมือขึ้นมอง...”

ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในชีวิตก็ปรากฏขึ้น..




“เมื่อนิ้วหัวแม่มือของอาจารย์จิตรที่บริเวณเล็บนั้น คล้ายกับเป็นแสงสว่างวูบขึ้นแวววาว จากนั้นก็ค่อยๆ หรี่ลงๆ และปรากฏเป็นภาพรางๆ ที่ค่อยๆ ชัดขึ้นที่ละน้อย กลายเป็นภาพของหลวงปู่ทวด ซึ่งปรากฏเห็นอย่างชัดเจน ไปจนถึงพระอุระของท่าน....”


ภาพที่เกิดขึ้นบนเล็บของอาจารย์จิตร บัวบุศย์นั้นชัดเจน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็มีหลายคนอยู่ร่วมเหตุการณ์ สามารถยืนยันได้ ซึ่งตัวอาจารย์จิตรเอง ท่านก็ได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า “นับเป็นเหตุการณ์ปาฏิหาริย์”


ในพิธีอัญเชิญรูปหลวงปู่ทวดให้มาปรากฏบนนิ้วมือของอาจารย์จิตร บัวบุศย์ครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นแบบในการสร้างพระรูปหลวงปู่ทวดจนเป็นที่สำเร็จ โดยครั้งแรกเป็นการสร้างพระเนื้อว่านมงคล ๑๐๘ ชนิด เมื่อมีการสร้างเสร็จแล้วได้นำมาแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ทั้งหลายได้บูชาและหมดไปอย่างรวดเร็ว...


แต่ก็ยังไม่เพียงพอเนื่องจากลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้วยังคงมีอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนเมื่อได้รับไปบูชาแล้วต่างก็มีประสบการณ์มากมายทั้งแคล้วคลาดภยันตรายนับไม่ถ้วน ทำให้ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวอันนี้อยากจะมีไว้บูชากันบ้าง..


ด้วยเหตุนี้อาจารย์ทวี ท่านจึงได้สร้าง “เหรียญหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด” เป็นเหรียญทรงกลมขึ้นอีกครั้งในปี ๒๕๑๒ เพื่อแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ของท่านเช่นเคย แต่ในครั้งนี้อาจารย์ทวี ท่านได้แบ่งเหรียญรุ่นนี้ส่วนหนึ่งเก็บไว้ในหีบเพื่อบูชาในพิธีต่างๆของท่าน



ว่ากันว่าเหรียญที่ท่านสร้างแจกในครั้งนั้นก็สร้างปาฏิหาริย์ต่างๆไว้จนไม่สามารถบรรยายได้หมด และเราอาจจะพบเห็นได้ในคอของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคน เพราะบางท่านก็มีช่วงอายุทันเหตุการณ์ในครั้งนั้น




ประกอบกับว่าเป็นที่รับรู้ของลูกศิษย์ว่าอาจารย์ทวี ท่านมีญาณสื่อกับหลวงปู่ทวดได้ ดังนั้นคุณวิเศษของเหรียญรุ่นนี้ผมคงไม่ต้องมานั่งอธิบายความครับ “เยี่ยมจริงๆ”


หลังจากที่อาจารย์ทวี ทิวแก้วได้ถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถประกอบพิธีอัญเชิญหลวงปู่ทวดเช่นนี้ได้อีกเลย....



วันเวลาที่ผ่านล่วงเลยไป ถึงจะไม่มีอาจารย์ทวีแล้วแต่บรรดาลูกศิษย์ก็ยังคงไปมาหาสู่กราบไหว้ที่อาศรมชีปะขาวกันอย่างสม่ำเสมอ ในระหว่างที่บรรดาลูกศิษย์ช่วยกันจัดเก็บข้าวของในอาศรมชีปะขาว ก็ได้พบ”หีบเก่าอยู่ใบหนึ่ง” จึงตัดสินใจเปิดดู โดยมีท่านพลตรีประจักษ์ ธูปเทียนรัตน์ หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์เป็นหัวหน้าประจักษ์พยานในการเปิดดูครั้งนี้..


สิ่งที่ได้พบในหีบใบนั้นก็คือ..


“เหรียญหลวงปู่ทวด ที่อาจารย์ทวีได้สร้างขึ้นในปี ๒๕๑๒ จำนวนหนึ่งและจดหมายของอาจารย์ทวี ที่เขียนใส่ไว้...”




เนื้อหาและใจความในจดหมายเสมือนหนึ่งว่า ท่านอาจารย์ทวี ทิวแก้ว จะล่วงรู้ถึงอนาคตว่าจะต้องมีลูกศิษย์ของท่านมาพบกรุเหรียญหลวงปู่ทวดในหีบใบนี้...โดยท่านเขียนไว้ว่า....

“ขอให้สานต่อการสร้างวัด ๒ แห่งที่ท่านสร้างไว้ในอดีตให้แล้วเสร็จคือ วัดวังรี จ.นครนายกและวัดสุทธาวาส จ.ฉะเชิงเทรา และเหรียญดังกล่าวให้รวบรวมแจกจ่ายแก่ผู้ที่ศรัทธาไว้สักการบูชา ด้วยบารมีพุทธคุณของหลวงปู่ทวด จงโปรดคุ้มครองแก่ลูกหลานทีมีความเลื่อมใสให้แคล้วคลาดปลอดภัย....”



ครับเรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มีอยู่มากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงไม่แปลกครับที่คนยุคใหม่และนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อ....

เรื่องราวของหลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด) กับท่านอาจารย์ร้อยเอกทวี ทิวแก้ว ตามบันทึกน้อยของผมตอนนี้ก็เป็นเรื่องของ”อิทธิปาฏิหาริย์” ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไรตามหลักของพระพุทธศาสนา….

ตอนที่มนุษย์ยังไม่รู้ว่าโลกเรากลม บรรดานักคิดในสมัยนั้นต่างก็เชื่อและพากันอธิบายกันว่าโลกของเราแบน ซึ่งพวกเราก็เชื่อตามนั้น จนมีคนๆหนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาว่าโลกเราแบนจริงหรือ....


ทุกวันนี้เราคงทราบกันแล้วครับว่า”โลกของเรากลม” วิทยาศาสตร์มีคำตอบ...


แต่เพื่อนๆเชื่อไหมครับว่าเรื่องของ”อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์” นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาหักล้างได้ เพราะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของความเชื่อ ที่อยู่เหนือธรรมชาติและมีผลต่อจิตใจของมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ว่ากันว่าความเชื่อเหล่านี้จะสามารถลดความหวาดกลัวของมนุษย์ลงไปได้ตลอดจนเป็นการสร้างเกราะกำบังความกลัวและก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาร่วมกัน

ตราบใดที่เรายังคงเป็นชาวพุทธและยังคงมีความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลังว่ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จริงๆ ก็ขอจงมองหา”เหรียญหลวงปู่ทวด ปี ๒๕๑๒ ของอาศรมชีปะขาว”ไว้แขวนคอเถอะครับ ดีกว่าจะไปมองหาพระหลวงปู่ทวดรุ่นเก่าๆแพงๆ และต้องเสี่ยงต่อการเสียเงินเปล่าๆโดยได้รับอะไรก็ไม่รู้รูปร่างเหมือนพระเครื่องมาแขวนคอ



เพราะเมื่อมีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นแล้วผมเชื่อว่า “บารมีของหลวงปู่ทวด และพลังจิตของอาจารย์ทวี” เมื่อนำมารวมกับ”้นแล้วผมเชื่อว่า "องมาแขวนคอะไม่งมงาย สุดท้ายก็จะส่งผลให้ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจขอจงมองหาเหรียญหลวง”Wความเชื่อมั่นและความศรัทธา”ก็จะส่งผลให้ท่านมีความมั่นคงทางจิตใจ และมีความปลอดภัยในชีวิต ขอเพียงแต่ให้เราได้ใช้สติปัญญาพิจารณาเรื่องต่างๆอย่างถ่องแท้และไม่งมงาย....



สุดท้ายนี้ขอบารมีหลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด) จงดลบันดาลให้เพื่อนๆและเครือญาติ เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญและคุณธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ....สวัสดีครับ



ขอขอบพระคุณ ข้อมูลอ้างอิงจากนิตยสารพระเครื่องปรกโพธิ์ ฉบับที่ ๕๕ หนังสือพลังจิต-อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โดยพันโทนายแพทย์สมพนธ์ บุณยคุปต์ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทยสำหรับข้อมูล เพื่อนต่อสำหรับคำแนะนะ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอครับ

โรงพยาลวิชัยยุทธ กับสิ่งดีที่ควรบูชา







มูลนิธิเพื่อรักษาพยาบาลพระภิกษุอาพาธ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

--------------------------------------------------------------------------------

มูลนิธิเพื่อรักษาพยาบาลพระภิกษุอาพาธ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
เลขที่ 71/3 ถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0-2265-7777, 0-2618-6200 โทรสาร. 0-2278-1017

ชื่อบัญชี มูลนิธิเพื่อรักษาพยาบาลพระภิกษุอาพาธ รพ.วิชัยยุทธ
ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาคลองประปา
บัญชี เงินฝากประจำ 12 เดือน
เลขที่บัญชี 053-2-07758-2

.........................................................

โรงพยาบาลวิชัยยุทธ มีครูบาอาจารย์ ท่านมาพักรักษาอาการอาพาธหลายรูปครับ

ภาพประกอบดูที่
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=970

คลังบทความของบล็อก